ทีมชาติเยอรมัน ชาติยักษ์ใหญ่จากทวีปยุโรป เจ้าของดีกรีแชมป์โลกถึง 4 สมัย รองแชมป์ 4 สมัย และ อันดับที่ 3 อีก 4 สมัย ผ่านเข้ามาเล่นรอบสุดท้ายได้ตามความคาดหมาย หลังช่วงรอบคัดเลือกเจอกับงานง่ายในกลุ่ม เจ ที่คู่แข่งล้วนไม่แข็งนัก ยกตัวอย่างเช่น ไอซ์แลนด์, มาซิโดเนียเหนือ, โรมาเนีย และ ลิกเตนสไตน์
ทัพ อินทรีเหล็ก เก็บชัยชนะไปได้ถึง 9 เกม พลาดท่าทำแต้มหล่นพ่ายไปเพียงนัดเดียว คว้าแชมป์กลุ่มาครองได้แบบสบายๆ ทำแต้มทิ้งห่างรองแชมป์กลุ่มถึง 9 แต้ม เรียกได้ว่าคืนฟอร์มสมฐานะตัวเต็งในอดีต ที่มีช่วงหลุดสะดุดไปหลังคว้าแชมป์โลกได้ในปี 2014
ก่อนหน้านี้ใน เวิลด์ คัพ ปี 2018 พวกเขาเดินทางไปป้องกันแชมป์ แต่ปรากฏว่า ขุนพลในทีมชุดดังกล่าว กลับทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานแบบเหลือเชื่อ ตกรอบแรกไปแบบไม่มีอะไรให้ลุ้น ทั้งที่ร่วมกลุ่ม เอฟ กับชาติที่ไม่ได้แข็งมากนักอย่าง เม็กซิโก, เกาหลีใต้ และ สวีเดน แต่บทสรุปกับตกรอบในฐานะบ๊วยของกลุ่ม ได้แต้มติดมือไปเพียงแค่สามคะแนน
แม้ว่าผลงานจะชี้ชัดว่าตกต่ำลงกว่าเดิมมาก แต่อดีตกุนซืออย่าง โยอาคิม เลิฟ ยังคงไม่ยอมลาออกจากตำแหน่ง พยายามฝืนยื้อไปเรื่อยๆ หาทางแก้ไขซ้ำแล้วซ้ำอีก เริ่มตั้งแต่พยายามโละนักเตะซีเนียร์ ที่เขามองว่าอิ่มตัวกับความสำเร็จออกไป ดดันเอาเด็กหน้าใหม่เข้ามา แต่กลับไม่มีสัญญาณที่ดีขึ้น
หลังจบศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ที่ผลงานของพวกเขาก็ไม่เป็นไปตามเป้าเหมือนเคย เลิฟ จึงยอมแพ้ ยอมแยกทางกับทีมในที่สุด อันเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่แบบจริงๆ จังๆ กับเทรนเนอร์ใหม่ ซึ่งมีดีกรีไม่ธรรมดา ถือว่าประสบความสำเร็จกับสโมสรในระดับหนึ่ง
การกลับมาคราวนี้ของพวกเขา เชื่อว่าความคาดหวังจากสมาคม คงตั้งเป้าเอาไว้สูงไม่น้อย หลังจากเสียรังวัดแบบน่าอายในครั้งก่อน จึงหวังหาจุดดเปลี่ยนกลับมากู้ชื่อให้ได้โดยเร็ว ด้วยการวางแผนพัฒนาระยะยาว ปลูกฝังระบบการเล่นต่างๆ เหมือนที่เคยประสบความสำเร็จในอดีต มาดูไปพร้อมๆ กันเลยว่า ความพร้อมต่างๆ ทั้งเรื่องของ กุนซือ, ตัวนักเตะ และ เป้าหมายของพวกเขา จะเป็นอย่างไรกันบ้าง?
กุนซือ ทีมชาติเยอรมัน
การลุยศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ เดเอฟเบ หรือ สมาคมฟุตบอลเยอรมัน เลือกที่จะใช้งานคนคุ้นเคยอย่าง ฮันซี่ ฟลิค เทรนเนอร์มากฝีมือ เข้ามารับบทบาททีมเชฟ หลังประทับใจในผลงานการคุมทีมของเขาในระดับสโมสร ที่พาทัพ บาเยิร์น มิวนิค คว้าตำแหน่งแชมป์ทั้งในประเทศ รวมไปถึงบอลที่ชิงชัยกันในระดับทวีป
ฟลิค ในวัย 57 ปี เคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพมาก่อน ผ่านการเล่นให้กับสมสรชื่อดังในประเทศ อาทิ ซานด์เฮาเซ่น, โคโลญจน์ และ บาเยิร์น มิวนิค แต่ไม่ถึงขนาดโด่งดังจนเป็นที่จดจำของแฟนบอล พอแขวนสตั๊ดเขาก็เริ่มหันมาจับงานดด้านโค้ช ซึ่งความจริงแล้วเขาทำควบคู่กับมาตั้งแต่อยู่กับทีมสุดท้ายอย่าง แบมเมนทอล ตั้งแต่ปี 1996
ด้วยการวางแทคติกส์ และ ฝีมืออันโดดเด่นของ ฟลิค ทำให้เขาอยู่กับทีมเก่าเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น ก่อนจะมารับงานคุมทีมเต็มตัวแบบไม่ควบคู่กับการเป็นนักเตะกับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ แล้วพาทีมไต่ระดับมาตั้งแต่ลีกล่างๆ จนเลื่อนชั้นขึ้นมาอย่างที่เห็นในปัจจุบัน แต่มาถึงทางตันในปี 2005 จึงแยกทางกันไป
ในปี 2006 ฟลิค ได้รับงานนอกประเทศครั้งแรกกับ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ในฐานะผู้ช่วยผู้จัดการทีม แต่อยู่ในตำแหน่งได้เพียงแค่เดือนเดียว ก็ถูกทาง เดเอฟเบ ดึงตัวเขามาช่วยในตำแหน่งเดียวกันกับทีมชาติชุดใหญ่ยาวถึง 8 ปี ก่อนจะถูกเลื่อนตำแหน่งขึ้นไปเป็นฝ่ายบริหารในตำแหน่ง ผู้อำนวยการกีฬา อีกเป็นเวลา 3 ปี
ช่วงกลางปี 2017 ฟลิค กลับไปช่วยงานบริหารกับ ฮอฟเฟ่นไฮม์ อีกครั้ง แต่อยู่กับทีมไดเพียงแค่ครึ่งปี ก็ถูกทาง เสือใต้ ดึงตัวไปรับตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการทีม ก่อนจะดันขึ้นไปรับตำแหน่งผู้จัดการทีมชุดใหญ่แบบเต็มตัวในเวลาต่อมา เขาใช้เวลาเพียงแค่สองปี พาทีมประสบความสำเร็จมากมาย แล้วจึงลาทีมมารับหน้าที่เทรนเนอร์ของเยอรมันแบบเต็มตัว
ว่ากันตามตรงแล้ว ประสบการณ์ และ ความคุ้นเคย ของ ฟลิค กับนักเตะทีมชาติ นับว่าเห็นกันมาตั้งแต่เป็นเยาวชน ระบบการเล่น การทำทีมล้วนไปในทิศทางเดียวกัน แทบไม่มีอะไรต้องปรับจูนกันมากนัก นอกจากเรื่องของทัศนคติการเล่นเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องปรับเข้าหาผู้เล่นยุคใหม่บางราย
ระบบการเล่นที่ ฟลิค นิยมใช้เป็นหลัก หนีไม่พ้น 4-2-3-1 ที่แทบจะเป็นแบบแผนของทุกทีมในแดนไส้กรอก เน้นไปที่แผงกองกลางที่แข็งแกร่ง การเติมเกมบุกจากตัวริมเส้น ครองเกมแดนกลางให้เหนือกว่าคู่แข่งให้ได้ แล้วไปวัดกันที่ความคมในการจบสกอร์
นักเตะ ทีมชาติเยอรมัน
อายุเฉลี่ยของนักเตะเยอรมันชุดนี้ อยู่ที่ราว 26.5 ปี แกนหลักของทีมยังคงเลือกใช้ตัวเก๋าบางรายมาประคอง ผสมผสานเข้ากับนักเตะดาวรุ่ง ส่วนใหญ่แล้วค้าแข้งอยู่ในลีกบ้านเกิด เพราะมีความแข็งแกร่งทัดเทียมกับลีกชั้นนำอื่นๆ มีแค่บางรายเท่านั้นที่ย้ายออกไปเสี่ยงดวงนอกประเทศ อันดับ ฟีฟ่า แร้งค์กิ้ง อยู่ที่ 11 ถือว่าหล่นลงมาจากเดิมพอสมควร เนื่องจากผลงานในช่วงหลัง ออกแนวกระท่อนกระแท่นไม่น้อย
ตำแหน่งผู้รักษาประตู
ด้วยประสบการณ์, ดีกรีการเป็นแชมป์ และ ฝีมือ คงไม่มีตัวเลือกอื่นใดดีกว่า นายทารจอมเก๋าจากสโมสร บาเยิร์น มิวนิค อย่าง มานูเอล นอยเออร์ นายทวารวัย 36 ปีได้เลย ครั้งนี้คงเป็นทัวร์นาเมนต์สั่งลาของเจ้าตัวแล้ว ก่อนจะอำลาทีมชาติเพื่อให้รุ่นน้องที่จ่อคิวอยู่ขึ้นมาทดแทน แต่จะไว้ลายฝากผลงานแบบใดไว้ ต้องมาลุ้นกันต่อไป
ตำแหน่งกองหลัง
ตลอดสองปีที่ผ่านมา แฟนบอลหลายราย คงยอมรับแล้วว่า อันโตนิโอ รูดิเกอร์ เซนเตอร์แบ็คผิวสี ที่มีดีกรีเป็นแชมป์ยุโรปกับ เชลซี ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด คือ ผู้เล่นที่ไว้ใจเรื่องผลงานได้ดดีที่สุดตอนนี้ ดาวเตะรายนี้มีความเร็ว การเข้าบอลที่หนักแน่น แพสชั่นที่ล้นเอ่อแบบเกินร้อย หากดวลกันตัวต่อตัวตอนนี้ หาแนวรุกกินเขาได้ยากเอามากๆ
ตำแหน่งกองกลาง ทีมชาติเยอรมัน
หากต้องการหานักเเตะที่ครบเครื่อง มีฝีเท้าใกล้เคียงกับตำนานอย่าง ฟิลิปป์ ลาห์ม ชื่อของ โยชัว คิมมิช คงใช้เวลากวาดความสำเร็จอีกเล็กน้อยเท่านั้น ถึงจะไปถึงระดับเดียวกันได้ ดาวเตะรายนี้เล่นได้อย่างสาระพัดประโยชน์ มีไอคิวฟุตบอลที่สูงลิบลิ่ว การยืนคุมเกมในแดนกลางของเขา ช่วยได้ทั้งการตัดบอล และ ออกบอลจากแดนหลัง ไม่ว่าทีมไหนก็ต้องการนักเตะที่มีคุณสมบัติแบบนี้อยู่ในทีม แถมยังมีทีเด็ดเรื่องการเล่นลูกเซ็ตพีซอีกด้วย
ตำแหน่งกองหน้า
ช่างเป็นเรื่องที่น่าโชคร้ายเหลือเกินสำหรับทัพ อินทรีเหล็ก ที่ตั้งแต่หมดยุคของ มิโรสลาฟ โคลเซ่ ก็ไม่มีศูนย์หน้าที่ครบเครื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นมาอีกเลย แต่ตัวเลือกที่มีอยู่อย่าง ติโม แวร์เนอร์ ที่เลือกย้ายกลับมาเล่นให้กับ แอร์เบ ไลป์ซิก ดูเหมือนว่า การเล่นที่ร้อนแรงแบบเดิมๆ มีทีท่าว่าจะกลับมาเร็วๆ นี้ ขอแค่ให้ดาวยิงรายนี้มีความมั่นใจ รับรองได้ว่า คุณภาพในการจบสกอร์ ไว้ใจได้ในระดับหนึ่ง
สตาร์ประจำทีม
อาจดูเหมือนเป็นการโยนความกดดันที่มากเกินไป แต่ถ้าแฟนบอลรายไหนได้ยลฝีเท้าของ จามาล มูเซียล่า แบบสดดๆ ที่ลงสนามให้กับ เสือใต้ แล้วคงเข้าใจได้ว่า ทำไมถึงเลือกเขาเป็นดาวเด่นประจำทีมนี้ ลองจินตนาการถึง โธมัส มุลเลอร์ เวอร์ชั่นอัพเกรด ที่มีความเร็ว เลี้ยงบอลพริ้ว ขาดแค่เรื่องของประสบการณ์ เท่านี้คงพอกับการนิยามฝีเท้าของดดาวรุ่งวัยไม่ถึง 20 ปีรายนี้แล้ว ถ้าไม่มีดีจริง เยอรมัน คงไม่ออกโรงแย่งกับ ทีมชาติอังกฤษ แน่นอน
เป้าหมาย

เป้าหมายสูงสุดของ เยอรมัน ในการมาเล่นฟุตบอลโลกครั้งนี้ คงไม่ได้มองเป็นเรื่องเล่นๆ ขอผ่านไปถึงรอบ น็อค เอาท์ แน่ๆ เพราะต้องการแก้ตัว จากการหน้าแตกยับเยิน ตกรอบแรกในครั้งก่อน ดด้วยการจมบ๊วยของกลุ่มแบบน่าอับอาย
การอยู่ร่วมกลุ่ม อี กับ ญี่ปุ่น, สเปน และ คอสตาริกา หากเทียบเรื่องศักยภาพกันตามตรง อินทรีเหล็ก มีดีพอจะแย่งตำแหน่งแชมป์กลุ่มแน่ๆ ซึ่งเกมตัดสินคงไม่พ้นการดวลกับทัพ กระทิงดุ ส่วนอีกสองเกมต้องพยายามเก็บชัยชนะให้ได้
ถ้าผ่านด่านแรกไปได้แล้ว ดวงของพวกเขาต้องไปเจอกับชาติไหน? ก็แทบไม่มีอะไรให้ต้องกลัว เนื่องจากชื่อชั้นของพวกเขาก็ไม่ได้เป็นรองใคร คุณภาพของนักเตะก็วัดได้กับทุกทีม แต่ถ้าให้ฟันธงกันตามสภาพ ครั้งนี้อาจไปไกลได้แค่รอบ 8 ทีมเท่านั้น เนื่องจากดาวรุ่งหลายราย ยังขาดประสบการณ์ในการรับแรงกดดันบนเวทีใหญ่ๆ
เว็บไซต์ worldcup2022qa จัดทำขึ้นมาเพื่อรวบรวมข่าวสารเกี่ยวกับศึก ฟุตบอลโลก 2022 ที่กำลังจะจัดขึ้นช่วงปลายปีที่ประเทศกาตาร์ พร้อมเสิร์ฟข้อมูลที่สดใหม่ เกี่ยวกับชาติต่างๆ ทั้ง 32 ทีม ที่เข้าร่วมทำการแข่งขัน เป็นทางเลือกให้กับแฟนบอล ที่ชื่นชอบการแข่งขันทัวร์นาเมนต์ระดับชาติ ที่ว่ากันว่าเป็นรายการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกฟุตบอล ต้อนรับกระแส เวิลด์ คัพ ฟีเวอร์ ซึ่งกำลังจะกลับมาอีกครั้ง เตรียมใจลุ้นเตรียมใจเชียร์ชาติขวัญใจ ให้กำลังใจนักเตะที่คุณชื่นชอบไปพร้อมๆ กัน 4 ปีมีครั้ง ห้ามพลาดด้วยประการทั้งปวง